ตั้งแต่ Valve Corporation ผู้พัฒนาและให้บริการ Dota 2 ได้นำ “Dota Pro Circuit” (DPC) ระบบการจัดอันดับตามคะแนนเก็บ เพื่อคัดเลือกหาทีมเข้าชิงแชมป์โลก The International ในปี 2017 ประเภทการแข่งขันที่มีเงินรางวัล และ แต้ม DPC เป็นเดิมพันก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “งานใหญ่” ที่เรียกว่า “Major” และ “งานที่เล็กกว่า” เรียกว่า “Minor” และปีต่อๆ มาก็มีการจัดระเบียบโควตาให้ “แชมป์ไมเนอร์” สามารถเข้าไปเล่นใน “เมเจอร์รายการถัดไป” เพื่อจูงใจให้รายการเล็กๆ มีสีสันมากยิ่งขึ้น
และงานแข่งที่ไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ คือ PGL Bucharest 2019 งานไมเนอร์มาตรฐานที่มีเงินรางวัลรวม 300,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ, คะแนน DPC 500 และ 1 โควตาเข้าร่วม Chongqing Major งานใหญ่ที่ประเทศจีนเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจเหล่าทีมรองจากทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ใช้ว่างานเล็กที่จัดขึ้นในเมืองเหลวงของประเทศโรมาเนียจะมีแต่ทีม Tier 2 เพราะรายการนี้มีทีมชื่อดังเข้าร่วมด้วยกันหลายทีม
EHOME
ทีมแรกที่ต้องพูดถึงคงหนีไม่พ้น EHOME ทีมจากประเทศจีนที่ถูกจับตามองในฐานะ “ตัวสอดแทรกแย่งแชมป์” เพราะประกอบไปด้วยอดีตผู้เล่นระดับตำนานจาก Wings Gaming แชมป์ TI6 ที่ว่ากันว่าเป็น “หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลของวงการโดต้าทู” นั่นคือ Faith_bian และ y`
แต่ถึงกระนั้น ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ค่อยเชื่อน้ำมือทีมจีนทีมนี้เท่าไร เพราะให้ราคาไว้ที่จ่าย 1 ได้กลับไป 4.5 แต่ใครที่ชอบเชียร์มวยรองก็แอบเชียร์ไว้ ก็อาจจะได้กำไรเหมือนกัน
Ninjas in Pyjamas
ทีมที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นยุโรปที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง Ace (จาก Secret), Fata (จาก Secret), 33 (จาก OpTic), Saska (สายสแตนด์อิน) และ ppd (ตัวเก๋ากัปตัน OpTic) มีผลงานที่จับต้องได้ที่สุดคือ การคว้าอันดับ 4 The Kuala Lumpur Major เมเจอร์ก่อนปีใหม่ที่มาเลเซีย แต่ด้วยความรายการนี้คู่แข่งห่างชั้นเกินไป น่าจะได้เห็น “ทีมนินจา” เข้ารอบลึก หรืออาจจะครองแชมป์ด้วยซ้ำไป
OG
แชมป์ TI หนล่าสุด ที่เพิ่งกลับมาจากการพักผ่อนใช้เงินรางวัลในกระเป๋าที่ได้รวมกัน 11.1 ล้านดอลล่าร์ แต่ทั้งนี้ การกลับเข้าสู่สมรภูมิการแข่งขัน ปรากฏว่า OG ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนเก่า เพราะ Ana แครี่พรสวรรค์สูงตัดสินใจประกาศพักการเล่นให้ทีมแบบไม่มีกำหนด แถมตัวที่เข้ามาแทนอย่าง Pajkatt ก็ยังเล่นไม่ได้ เลยต้องใช้ตัวสแตนด์อินที่ชื่อชั้นต่ำกว่า Ana อย่าง iLTW ในบทบาทตัวฟาร์มไปก่อน
PGL Bucharest ที่จะแข่งขันในระหว่างวันที่ 9-13 ม.ค. จึงเป็นเสมือนโจทย์สำคัญของทีมแชมป์โลกว่าจะกลับเข้าใกล้จุดพีคของตัวเองได้หรือเปล่า